โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย
เนื่องจากความชุกของโรคธาลัสซีเมียในประเทศไทยถือว่ามากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก แม้ว่าปัจจุบันโรคธาลัสซีเมียสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด แต่ยังมีข้อจำกัดอยู่มากเนื่องจากการรักษาดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายที่สูงและหาผู้บริจาคเซลล์ได้ยาก นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายถึงชีวิตจากการรักษาได้ สิ่งสำคัญที่ประชาชนทั่วไปน่าตระหนักมากที่สุดคือการวินิจฉัยผู้ที่มีภาวะแฝงในสังคมให้ถูกต้องอันจะนำไปสู่การป้องกันโรค เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยที่เกิดขึ้นใหม่ด้วยวิธีการที่เหมาะสม
โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียเป็นโรคทางพันธุกรรมชนิดพันธุกรรมแบบยีนด้อย หรือ autosomal recessive โรคพันธุกรรมชนิดนี้มีพันธุกรรมที่ผิดปกติในการสร้างโปรตีนโกลบิน (Globin) โดยGlobin เป็นโปรตีนสำคัญที่เป็นองค์ประกอบของโปรตีนชนิดหนึ่ง คือ ฮีโมโกลบิน Hemoglobin ซึ่ง Hemoglobin ประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนที่เป็น Heme และส่วนที่เป็น Globin ซึ่ง Hemoglobin เป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่สำคัญในการขนถ่ายออกซิเจนจากปอดไปยังอวัยวะภายในต่างๆ และเป็นองค์ประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง และเม็ดเลือดแดงทำหน้าที่ขนถ่ายออกซิเจนได้เพราะมี Hemoglobin อยู่ภายใน เมื่อไรก็ตามที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทำให้สร้างสายโกลบินไม่ได้ จะทำให้โครงสร้างและหน้าที่สร้างของ Hemoglobin ผิดปกติซึ่งนั้นเป็นสาเหตุที่นำไปสู่ภาวะโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย
ผู้ที่มีความผิดปกติของการสร้าง Globin จะมีภาวะซีด ซึ่งภาวะซีดมีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันไปนับตั้งแต่ ซีดตั้งแต่เด็กอยู่ในท้องจนกระทั่งคลอดออกมาหรือเป็นผู้ใหญ่ ภาวะซีดที่เกิดขึ้นมีผลเสียต่อร่างกาย ถ้าซีดมากตั้งแต่อายุน้อยๆ มีผลต่อการเจริญเติบโต ภาวะซีดกระตุ้นให้ร่างกายมีการปรับตัวเพื่อต่อสู้กับภาวะซีด เช่น เวลาเกิดภาวะซีด มีการสร้างเม็ดเลือดได้น้อยลง ร่างกายต้องไปสร้างเม็ดเลือดที่ตำแหน่งอื่นๆนอกเหนือจากที่ไขกระดูกตามปกติ เพราะฉะนั้นผลที่เกิดขึ้นคือ ผู้ป่วยจะมีม้ามโต ตับโต มีก้อนที่อยู่ในกะโหลกศีรษะ มีก้อนอยู่ที่ไขสันหลัง มีก้อนอยู่ในช่องอก เพื่อจะสร้างเม็ดเลือดขึ้นมาใหม่ นอกจากนี้เม็ดเลือดที่ขาด Hemoglobin จะมีอายุที่สั้นลง เพราะฉะนั้นเม็ดเลือดก็จะแตกง่ายขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลืองไม่แข็งแรง เมื่อเม็ดเลือดแตกมากๆ จะทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดี และมีผลเสียในระยะยาวที่ตามมา
เมื่อเกิดภาวะซีด ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับเลือด ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะถูกกระตุ้นให้มีการดูดซึมธาตุเหล็กเพิ่มขึ้นผ่านทางลำไส้เมื่อเวลาผ่านไป ก็จะเกิดภาวะเหล็กเกิน เมื่อเกิดภาวะเหล็กเกินมากขึ้นจนถึงจุดหนึ่งเกินความสามารถที่ร่างกายจะได้รับได้ เหล็กจะเข้าไปสะสมในอวัยวะภายใน เช่น ตับ หัวใจ ตับอ่อน สมอง กระดูก เป็นต้น ทำให้ผู้ป่วยกลายเป็นโรคอื่น ๆ ตามมา เช่น สะสมในตับทำให้เกิดตับแข็ง สะสมในตับอ่อนทำให้เกิดเบาหวาน สะสมในกระดูกทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุน สะสมในต่อมใต้สมอง ทำให้ฮอร์โมนไม่หลั่ง เกิดปัญหาทางด้านพัฒนาการทางเพศ สะสมในรังไข่อาจทำให้มีปัญหาเรื่องการสืบพันธุ์และเป็นหมันได้
และสำหรับขั้นตอนการรักษา หรือ โรคธาลัสซีเมียในประเทศไทยสามารถติดตามต่อได้ในบทความถัดไป